วิธีการเลือกซื้อกล่องทีวีดิจิตอล

1) รู้ก่อนว่า “ทีวีของเรา” รองรับแบบไหน 🖥️

ก่อนซื้อกล่อง ต้องรู้ว่าทีวีเป็นแบบใด

• ทีวีรุ่นเก่า (ไม่มีจูนเนอร์ DVB-T2) → ต้องใช้กล่องทีวีดิจิตอลภายนอก

• ทีวีรุ่นใหม่ (Smart TV หรือ Digital TV ในตัว) → ไม่จำเป็นต้องซื้อกล่องเพิ่มเติม
  📌 เช็กบนกล่องทีวีหรือคู่มือ หากมีคำว่า “รองรับ DVB-T2” แปลว่ารับสัญญาณได้โดยไม่ต้องใช้กล่อง

2) มาตรฐานสัญญาณที่รองรับ (DVB-T2) 📶

• กล่องทีวีดิจิตอลในประเทศไทยต้อง รองรับมาตรฐาน DVB-T2 เท่านั้น

• ควรมีโลโก้ “NBTC Certified” หรือ “รับรองโดย กสทช.” เพื่อมั่นใจว่าผ่านมาตรฐานจริง
  📌 กล่องที่ไม่ได้รับรองอาจดูได้ไม่นาน หรือหาช่องไม่ครบ

3) คุณภาพภาพและเสียงที่รองรับ 🎞️🎵

• ความละเอียดวิดีโอ: อย่างน้อย Full HD (1080p)

• รุ่นใหม่บางรุ่นรองรับ 4K Upscaling (แต่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อทีวีเป็น 4K ด้วย)

• ระบบเสียง: รองรับ Dolby Digital / PCM / HDMI Output เพื่อเสียงชัด ไม่หน่วง
  📌 สำหรับทีวีจอใหญ่ ควรเลือกรุ่นที่รองรับภาพระดับ Full HD ขึ้นไปเพื่อความคมชัดสูงสุด

4) ช่องต่อสัญญาณ (Input / Output Ports) 🔌

ตรวจสอบว่ากล่องมีพอร์ตที่เข้ากับทีวีของเรา

• HDMI → สำหรับทีวีรุ่นใหม่ ภาพชัด เสียงดี

• AV (RCA) → สำหรับทีวีรุ่นเก่าที่ยังเป็นหัวแดง-ขาว-เหลือง

• USB Port → สำหรับดูหนัง ฟังเพลง หรืออัปเดตซอฟต์แวร์

• Coaxial / RF Loop Out → ใช้ต่อพ่วงกับทีวีอื่นหรือเครื่องบันทึก
  📌 ควรมีทั้ง HDMI และ AV เพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งาน

5) ฟังก์ชันบันทึกรายการ (PVR – Personal Video Recorder) 🎥

• กล่องรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีระบบ บันทึกรายการทีวีลง USB / Flash Drive / External HDD

• รองรับฟังก์ชัน Time Shift (ย้อนดูรายการสด)
  📌 เหมาะกับคนที่ชอบอัดละคร ข่าว หรือกีฬามาดูย้อนหลัง

6) ระบบเมนูภาษาไทยและรีโมตใช้งานง่าย 🇹🇭

• ควรมี เมนูภาษาไทย 100%, ตัวอักษรใหญ่, แปลชัดเจน

• รีโมตควรมีปุ่มใหญ่ กดง่าย ปุ่ม “รายการโปรด (FAV)” และ “EPG (ตารางรายการ)”
  📌 หากเป็นผู้สูงอายุในบ้าน ใช้เมนูไทย + ปุ่มใหญ่ จะช่วยให้ใช้งานสะดวกมาก

7) รองรับสัญญาณเสาอากาศภายใน/ภายนอก 📡

• ต้องมี ช่องต่อเสาอากาศ (ANT IN)

• เลือกกล่องที่รองรับทั้ง สัญญาณเสาอากาศภายในบ้านและภายนอก

• หากอยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน ควรเลือกกล่องที่มี ชิปจูนเนอร์ไวพิเศษ (High Sensitivity Tuner)
  📌 เสาอากาศดี + กล่องคุณภาพ = ภาพไม่กระตุก ไม่สัญญาณหลุด

8) ฟังก์ชันเสริมที่ควรมี 🧠

• EPG (Electronic Program Guide) → ตารางรายการล่วงหน้า

• Subtitle & Audio Track → เปลี่ยนภาษา/เปิดซับได้

• Auto Scan / Manual Scan → ค้นหาช่องอัตโนมัติหรือเลือกความถี่เอง

• Parental Control → ล็อกช่องไม่เหมาะสม

• OTA Update (อัปเดตซอฟต์แวร์ผ่านสัญญาณ) → ช่วยให้กล่องอัปเดตฟีเจอร์ใหม่อัตโนมัติ

9) การรับประกันและบริการหลังการขาย 🧾

• ตรวจสอบว่าเป็นสินค้ารับประกัน อย่างน้อย 1 ปี

• มี ศูนย์บริการในไทย หรือช่องทางติดต่อที่ชัดเจน (เช่น ช่องทางโทรศัพท์ / Line / Facebook ของแบรนด์)
  📌 กล่องที่รับประกันนาน มักบ่งบอกถึงคุณภาพและความมั่นใจของผู้ผลิต

10) พลังงานและความทนทาน ⚙️

• ระบบไฟควรเป็น Adapter แยก เพื่อความปลอดภัย

• ตัวเครื่องควรระบายความร้อนได้ดี (มีช่องระบายอากาศ หรือวัสดุไม่อุ้มความร้อน)
  📌 กล่องที่ไม่ร้อนเร็วจะอายุการใช้งานยาวกว่ามาก

11) ยี่ห้อและมาตรฐานที่น่าเชื่อถือ 🏷️

แบรนด์ที่ได้รับการรับรองจาก กสทช. และได้รับความนิยมในไทย เช่น

• GMM Z, Infosat, Samart, PSI, Strong, IdeaSat, Thaisat, Leotech
  📌 อย่าเลือกกล่องราคาถูกที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มักเกิดปัญหาภาพค้างหรือช่องหาย

12) งบประมาณและความคุ้มค่า 💸

• รุ่นพื้นฐาน (ดูฟรีทีวีทั่วไป) → 400–800 บาท

• รุ่นบันทึกรายการ / มี USB / เมนูไทยครบ → 900–1,500 บาท

• รุ่นพรีเมียม (รองรับ 4K / OTA Update / ระบบเสียง Dolby) → 1,500–2,500 บาท
  📌 หากใช้งานทุกวัน ควรลงทุนในรุ่นกลางขึ้นไป จะได้ภาพและสัญญาณนิ่งกว่า