แนวทางการเลือกซื้อ หมวกกันน็อค ให้เหมาะกับการใช้งาน

ประเภทของหมวกกันน็อคแบ่งได้เป็น

• แบบครึ่งใบ (Half Face / Open Face)
  น้ำหนักเบา ระบายอากาศดี มองเห็นกว้าง เหมาะกับการขับขี่ในเมือง ความเร็วไม่สูงมาก

• แบบเต็มใบ (Full Face)
  ปกป้องศีรษะและใบหน้าได้ดีที่สุด เหมาะกับการเดินทางไกลหรือขับขี่ความเร็วสูง

• แบบยกคาง (Modular / Flip-up)
  ผสมระหว่างเต็มใบกับครึ่งใบ ยกคางขึ้นได้ สะดวกเวลาใช้งาน แต่ความแข็งแรงอาจน้อยกว่าเต็มใบ

• แบบครอบศีรษะครึ่งบน (Half Helmet)
  คล้ายหมวกจักรยาน ป้องกันน้อย ไม่แนะนำถ้าให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย

เกณฑ์การเลือกที่ควรพิจารณา

• มาตรฐานความปลอดภัย
  ควรเลือกที่ผ่านการรับรอง เช่น มอก. (ประเทศไทย), DOT (อเมริกา), ECE (ยุโรป), หรือ Snell (มาตรฐานแข่ง)

• วัสดุเปลือกหมวก (Shell Material)

  • ABS/Polycarbonate → น้ำหนักปานกลาง ราคาย่อมเยา

  • Fiberglass Composite → แข็งแรงขึ้น น้ำหนักเบา

  • Carbon Fiber → แข็งแรง เบา แต่ราคาสูง

• น้ำหนักหมวก
  ควรเลือกน้ำหนักเหมาะสมกับการใช้งาน ปกติอยู่ที่ 1,200–1,600 กรัม เพื่อไม่ให้คอเมื่อยเวลาใส่นาน ๆ

• ระบบสายรัดคาง (Chin Strap)
  มีทั้งแบบคลิปล็อก (สะดวก), แบบ Double D-Ring (นิยมในสนามแข่ง ปลอดภัยสูง)

• การระบายอากาศ (Ventilation)
  ควรมีช่องลมเข้า–ออก ป้องกันหมวกอับชื้นและลดการเกิดฝ้า

• ชิลด์/กระบังหน้า (Visor)

  • ใส/กันรอยขีดข่วน → ใช้งานกลางคืน

  • กัน UV/กันแดด → เหมาะกลางวัน

  • บางรุ่นมีชิลด์ 2 ชั้น (Clear + Sun Visor)

• การถอดซักภายใน
  ควรเลือกที่นวม/ผ้าบุถอดซักได้ จะช่วยรักษาความสะอาดและอายุการใช้งาน

👉 สรุป

• ถ้าใช้งานในเมือง ระยะทางสั้น ความเร็วไม่สูง → หมวกเปิดหน้า (Open Face) ก็เพียงพอ

• ถ้าเดินทางไกลหรือใช้ความเร็วสูง → หมวกเต็มใบ (Full Face) ปลอดภัยที่สุด

• ถ้าอยากได้ความสะดวกใช้งาน → หมวกยกคาง (Modular) ตอบโจทย์

• ถ้าคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด → เลือกแบรนด์มาตรฐานระดับโลก + ผ่านการรับรองสากล